top of page

ประเพณีภาคใต้

1. ประเพณีชักพระ

    ประเพณีชักพระ

ประเพณีชักพระ บางท้องถิ่นเรียกว่า "ประเพณีลากพระ " เป็นประเพณีพื้นเมืองของชาวภาคใต้ ได้มีการสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัย

ศรีวิชัย โดยสันนิษฐานว่าได้เกิดมีขึ้นครั้งแรกในประเทศอินเดีย มีพุทธตำนานเล่าขานสืบทอดกันมาว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงผนวชได้ 7

พรรษา และ พรรษาที่ 7 นั้นได้เสด็จไปจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครั้นออกพรรษาแล้ว ยามเช้าของแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ได้เสด็จกลับ

มายังโลกมนุษย์ ในการนี้พุทธบริษัททั้ง 4 ประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และ อุบาสิกา ซึ่งรอคอยพระพุทธองค์มาเป็นเวลานานถึง 3

เดือน ครั้นทราบว่า พระพุทธเจ้าเสด็จกลับ จึงได้รับเสด็จและได้นำภัตตาหารคาวหวานไปถวายด้วย ผู้ไปทีหลังนั่งไกล ไม่สามารถเข้าไป ถวายภัตตาหารด้วยตัวเองได้ จึงใช้ใบไม้ห่ออาหารและส่งผ่านชุมชนต่อๆกันไป เพื่อขอความอนุเคราะห์ต่อผู้นั่งใกล้ๆ ถวายแทน บุญ

ประเพณีลากพระ จึงมีขนมต้มหรือที่เรียกตามภาษาถิ่นว่า "ต้ม" เป็นขนมประจำประเพณีทำด้วยข้าวเหนียว ห่อด้วยใบไม้อ่อนๆ เช่น ใบจาก

ใบลาน ใบตาล ใบมะพร้าว หรือ ใบกะพ้อ เป็นต้น

ประเพณีชักพระของชาวภาคใต้มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ลากพระทางบก กับ ลากพระทางน้ำ

  • ชักพระทางบก คือการอัญเชิญพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขึ้นประดิษฐาน บนนบพระ หรือบุษบก แล้วแห่แหน ใช้เชือกแบ่งผูกเป็น 2

สาย เป็นสายผู้หญิงและสายผู้ชาย ใช้โพน ฆ้อง ระฆัง เป็นเครื่องตีให้จังหวะในการลากพระ คนลากจะเบียดเสียดกันสนุกสนานและประสาน

เสียงร้องบทลากพระเพื่อผ่อนแรง วัดส่วนใหญ่ ที่ดำเนินการประเพณีลากพระวิธีนี้ มักตั้งอยู่ในที่ไกลแม่น้ำลำคลอง

  • ชักพระทางน้ำ เป็นการอัญเชิญพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขึ้นประดิษฐาน บนบุษบก ในเรือ แล้วแห่แหนโดยการลากไปทางน้ำ ประเพณี

ลากพระ ที่มักกระทำด้วยวิธีนี้ เป็นของวัดที่ส่วนใหญ่อยู่ใกล้แม่น้ำลำคลองการลากพระทางน้ำจะสนุกกว่าการลากพระทางบก เพราะสภาพ

การเอื้ออำนวยต่อกิจกรรมอื่น ๆ เช่น สะดวกในการลากพระ ง่ายแก่การรวมกลุ่มกันจัดเรือพาย แหล่งลากพระน้ำที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง คือ

ที่อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร อำเภอพุนพินและ อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอปากพนัง

จังหวัดนครศรีธรรมราช รองลงมาอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง การชักพระทางน้ำของเกาะพะงัน จังหวัด

สุราษฎร์ธานี แปลกกว่าที่อื่น คือ จะลากกัน 3 วัน ระหว่างแรม 8 ค่ำถึงแรม 10 ค่ำ เดือน 11 มีการปาสาหร่ายโต้ตอบกันระหว่างหนุ่มสาว

มีการเล่นเพลงเรือ และที่แปลกพิเศษ คือ มีการทอดผ้าป่าสามัคคีในวันเริ่มงาน

2. ประเพณีแห่นก

    ประเพณีแห่นก

ประเพณีแห่นก การละเล่นทางพื้นเมืองทางภาคใต้โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี นราธิวาส ยะลา เป็นการละเล่นที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสนาหรือความเชื่อใดๆ หากแต่เป็นงานรื่นเริงที่จัดขึ้นเป็นครั้งคราวเพื่อความบันเทิง บางครั้งก็จัดขึ้นเพื่อเป็นการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง หรือแสดงความคารวะแก่ผู้ใหญ่ที่นับถือ  บ้างก็ว่าประเพณีแห่นกนี้จะจัดเพื่อเป็นความบันเทิงในพิธีเข้าสุนัต หรือ มาโซยาวี

ในงานมีการตั้งพิธีสวดมนต์ทางไสยศาสตร์ เพื่อขับไล่หรือขจัดปัดเป่าทุกข์โศกโรคภัยให้หมดสิ้นไป พบแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ในเวลาเดียวกันก็ยังเป็นการละเล่นที่ส่งเสริมให้เกิดความรักความสามัคคีในชุมชน เนื่องจากคนในชุมชนมีโอกาสได้ออกมาร่วมกิจกรรมของชุมชน และยังเสริมในเรื่องการยึดเหนี่ยวจิตใจได้อีกด้วย เพราะในงานจะมีการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไป

นกที่เข้าร่วมในขบวนแห่ประดิษฐ์จากสิ่งของในท้องถิ่น  หัวนกทำจากไม้เนื้อเหนียวในท้องถิ่น เช่น ไม้ตะเคียน ไม้กายีร มาแกะเป็นหัวนก ตัวนกใช้ไม้ไผ่ผูกเป็นโครงตัวนกแล้วติดกระดาษรอบโครงไม้ไผ่เป็นขนนก แล้วนำติดคานหาม นำออกมาแห่เป็นขบวน

ตำนานประเพณีแห่นกนั้นมีที่มาหลายที่มาด้วยกัน เช่น ตำนานการประดิษฐ์นกอย่างสวยงาม พร้อมนำออกแห่ทุกๆ ๗ วันเพื่อให้ธิดาองค์สุดท้องของเจ้าเมืองเป็นที่พอพระทัย  หรือตำนานเจ้าเมืองป่าวประกาศหาช่างฝีมือมาประดิษฐ์นกตามคำบอกเล่าของชาวประมงที่เห็นพญานกผุดขึ้นจากทะเลแล้วบินหายขึ้นไปยังท้องฟ้า จนได้เป็นนก ๔  ตัว

3. ประเพณีการแข่งเรือยอกอง

    ประเพณีการแข่งเรือยอกอง

 

จังหวัดนราธิวาสเป็นจังหวัดใต้สุดแดนสยามที่ตั้งอยู่ติดอ่าวไทยมีแม่น้ำ สำคัญ 3 สาย คือ แม่น้ำบางนรา แม่น้ำสุไหงโก-ลกและแม่น้ำสายบุรี ประชาชนจึงมีความผูกพันอันแน่นแฟ้นกับทะเลและแม่น้ำมาตั้งแต่อดีตเรือประมง จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการประกอบอาชีพแต่เรือประมงที่นราธิวาสมีความ แตกต่างกับเรือประมงพี่น้องประชาชนในภาคใต้ตอนบนหรือภาคอื่นๆเพราะเรือประมง ของพี่น้องชาวจังหวัดนราธิวาส เรียกกันว่า “เรือกอและ”มีลักษณะสวยงาม เมื่อถึงเทศกาลวันฮารีรายอ หรือวันละศีลอดพี่น้องชาวไทยมุสลิมก็จะงดออกหาปลา แต่จะร่วมพิธีการศาสนาและมีการละเล่น มีมหรสพสนุกสนานครื้นเครงตลอดจนการจัดให้มีการ แข่งเรือกอและในหมู่พี่น้องชาวประมงบริเวณอ่าวซึ่งอยู่ติดกับหาดนราทัศน์ และมัสยิดกลางในปัจจุบันจึงสร้างความสนุกสนานให้แก่ผู้เข้าแข่งขันและผู้ชมเป็นอย่างมากแต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ประกอบกับสถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจเปลี่ยนไปประเพณีการแข่งขันเรือกอและ ดังกล่าวก็เสื่อมหายไประยะหนึ่ง 

ต่อมาในปี พ.ศ 2516 หลังจากการก่อสร้างพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ

พระบรมราชินีนาถพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศาก็ได้เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับแรมณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์เป็นประทุกปี (ปี พ.ศ 2525 จนถึงปัจจุบัน ) ในการเสด็จมาแต่ละครั้งจะทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในจังหวันราธิวาสและจังหวัด ใกล้เคียงทุกหมู่เหล่าแม้จะเป็นถิ่นทุรกันดารเพียงใดพระองค์ก็เสด็จไปถึง อย่างไม่ย่อท้อและไม่หวั่นแกรงภยันตรายเพื่อรับทราบปัญหาของพสกนิกรพระองค์ ทรงวางโครงการน้อยใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้นยังความสงบสุขร่มเย็นโดยถ้วนหน้ากัน

         ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้าฯดังกล่าวชาวนราธิวาสได้ตระหนักและระลึกถึง อยู่ตลอดเวลา ในปี พ.ศ 2518 ข้าราชการ พ่อค้าและประชาชนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรจะจักให้มีการแข่งขันเรือกอและ ด้วยฝีพายและได้พระราชทานถ้วยรางวัลแกทีมเรือที่ชนะการแข่งขันด้วยนับตั้แต่ นั้นมาจังหวัดนราธิวาสได้จัดแข่งขันเรือกอและและชิงถ้วยพระราชทานเป็นประจำ ทุกปี

         ใน พ.ศ 2522 จังหวัดนราธิวาสโดยนายชัดรัตนราชผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสในขณะนั้นก็ได้ ริเริ่มให้มีการแข่งขันเรือยาวขึ้นอีกประเภทหนึ่งแต่โดยเหตุที่จังหวัด นราธิวาสเรือยาวค่อนข้างหาได้ยากจึงได้เชิญเรือยาวจากจังหวัดชุมพรสุราษฏร์ ธานี และนครศรีธรรมราช เข้าร่วมแข่งขัน ส่วนอำเภอต่างๆ ของจังหวัดซึ่งมีฝีพายพร้อมแต่ไม่มีเรือยาวก็ได้หยิบยืมเรือจากจังหวัดดัง กล่าวส่งเข้าแข่งขันกันอย่างสนุกสนานจนกลายเป็นประเพณีการแข่งขันเรือกอและ และเรือยาวควบคู่กันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 จนเป็นประเพณีสืบเนื่องกันมา และในปี พ.ศ.2529 ได้เพิ่มการแข่งขันเรือยอกองอีก 1 ประเภทซึ่งเป็นเรือหาปลาขนาดเล็กของชาวประมงชายฝั่ง แต่เป็นการแข่งขันชิงถ้วยรางวัลจากผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งนี้เพื่อให้พี่ น้องประชาชนในพื้นที่ได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมและแสดงออกถึงความจงรัก ภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

 

 

 

 

 

 

bottom of page